บทที่ 466: หนานซวนมาขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

-A A +A

บทที่ 466: หนานซวนมาขอแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์

เมื่อเซียวถังอี้เห็นว่ามู่ไป๋ไป่ยืนกรานที่จะไปกับตนด้วย เขาก็ขมวดคิ้วก่อนจะตัดสินใจพยักหน้าตอบรับเบา ๆ “เอาเถอะ แต่เจ้าจะต้องคอยติดตามข้ามาอย่าให้คลาดสายตา แล้วก็อย่าได้วิ่งเพ่นพ่านไปไหนลำพัง”

หากฝ่ายศัตรูใช้อาคมได้จริง ๆ มันก็เกินความสามารถของเขา

เขาไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นมากเพียงใด

“ตกลง” มู่ไป๋ไป่รู้สึกโล่งใจทันทีที่ชายหนุ่มยอมตกลง แล้วหันไปหาเซียวถังถังกับอวี้หวานหว่านเพื่อพูดกำชับว่า “พวกเจ้า 2 คนให้อยู่แต่ในตำหนัก อย่าออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอก รอข้ากลับมา”

เซียวถังถังเองก็เข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ นางจึงไม่กล้าโต้แย้งอะไร นางทำเพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่นและกล่าวว่า “ท่านไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลหวานหว่านอย่างดี ส่วนท่านพี่ ท่านจะต้องปกป้องไป๋ไป่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับไป๋ไป่ ข้าไม่มีวันจบกับท่านแน่!”

คำพูดของน้องสาวทำให้สีหน้าเคร่งขรึมของเซียวถังอี้มีรอยยิ้มจาง ๆ ประดับขณะที่เขาตอบว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับนาง ข้าก็คงไม่มีวันให้อภัยตัวเองเช่นกัน”

หลังจากพูดจบเขาก็พามู่ไป๋ไป่บินข้ามกำแพงตำหนักอวี๋ชิงไปยังทิศทางที่ตั้งของตำหนักตี้เฉิน

“ศิษย์พี่รอง… ศิษย์พี่ใหญ่จะเป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?” อวี้หวานหว่านถามพลางมองตามหลังมู่ไป๋ไป่กับเซียวถังอี้ไปอย่างเป็นกังวล

“ไม่เป็นไรหรอก” เซียวถังถังลูบหัวปลอบใจผู้เป็นศิษย์น้อง “พวกเขาจะปลอดภัย”

ตำหนักตี้เฉินที่เคยดูโอ่อ่าสง่างามวันนี้กลับกลายมีเพียงความเย็นยะเยือกน่าสะพรึงกลัว

ทันทีที่เซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่เท้าแตะพื้น พวกเขาก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงพากันขมวดคิ้ว

“นั่นมันกลิ่นอะไร...” หญิงสาวพึมพำขึ้นมาเสียงเบา

“หืม?” ชายหนุ่มละสายตาจากที่กวาดมองบริเวณโดยรอบแล้วหันมามองคนข้างกาย “เจ้าได้กลิ่นอะไรหรือ?”

“ท่านไม่ได้กลิ่นอะไรเลยหรือ?” มู่ไป๋ไป่พูดพร้อมกับยกมือขึ้นปิดจมูก ทำให้เสียงของเธอฟังดูอู้อี้ขึ้น “กลิ่นมันเหมือนอะไรเน่า ๆ …”

หญิงสาวพยายามอธิบายกลิ่นนั้นออกมาเป็นคำพูด ในที่สุดเธอก็นึกถึงกองขยะที่ไม่ได้ทิ้งมาหลายวันในอะพาร์ตเมนต์เมื่อชาติที่แล้ว 

กลิ่นนั้นมันเหมือนเศษอาหารจากห้องครัวถูกทิ้งเอาไว้เป็นเวลานานนับเดือน

“ข้าไม่ได้กลิ่นอะไรเลย” เมื่อเซียวถังอี้ได้ยินสิ่งที่มู่ไป๋ไป่พูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย “บางทีอาจเป็นเพราะว่าเจ้ามีร่างกายที่พิเศษ… เช่นนั้นเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน”

หญิงสาวมีปฏิกิริยาทันทีที่ก้าวเข้ามาที่ตำหนักตี้เฉิน เขาจึงไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางต่อไป

“ไม่” มู่ไป๋ไป่หยิบผ้าคลุมหน้าที่ใช้เมื่อคืนออกมาผูกปิดจมูกเอาไว้พร้อมกับกล่าวว่า “ข้าจะไปด้วย แล้วถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่านล่ะ อีกอย่าง ท่านพ่อกับท่านพี่รัชทายาทก็อยู่ในนั้น ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องเข้าไป”

เธอมาที่นี่นอกจากจะมาเพื่อช่วยชิงหานแล้ว เธอยังมาเพื่อช่วยมู่เทียนฉงกับมู่จวินฝานอีกด้วย

“มีคนมา” จังหวะนั้นเซียวถังอี้รีบดึงคนตัวเล็กกว่าไปซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่ง

หลังจากผ่านประสบการณ์เฉียดตายครั้งล่าสุด มู่ไป๋ไป่ก็รู้วิธีที่จะให้ความร่วมมือชายหนุ่มเป็นอย่างดี เธอยกมือขึ้นปิดปากตัวเองและเอนศีรษะไปมองยังทิศทางที่เขาหันไปมอง

แล้วเธอก็เห็นนางกำนัลคุ้นหน้ากำลังเดินนำเหล่าราชองครักษ์มุ่งตรงไปยังห้องโถงหลักของตำหนักตี้เฉิน

จากนั้นเธอก็เห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาในกลุ่มราชองครักษ์

นั่นคือชิงหานกับซั่วเยว่!

ตอนนี้องครักษ์หนุ่มทั้ง 2 เดินตามกลุ่มทหารไปด้วยสีหน้าจริงจังโดยที่พวกเขาได้เปลี่ยนไปสวมชุดแบบเดียวกัน

มู่ไป๋ไป่กับเซียวถังอี้หันมาสบตากันอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่เธอส่งสายตาถามเขาว่า ‘ทำไมพวกเขาถึงอยู่ในกลุ่มราชองครักษ์?’ 

ชายหนุ่มส่ายหัวเป็นการบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน

เมื่อหญิงสาวเห็นว่าคนเหล่านั้นเดินผ่านไปแล้ว เธอจึงเอามือออกจากปากก่อนจะกระซิบว่า “ข้ารู้จักนางกำนัลในกลุ่มเมื่อกี้นี้ คนพวกนั้นเคยอยู่ในตำหนักของลี่เฟย ลี่เฟยกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่? ข้าคิดว่ากลุ่มคนเมื่อกี้ทำตัวแปลก ๆ”

“เซียวถังอี้… ท่านคิดว่าพวกเขาอาจจะ…”

แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดคำนั้นออกไป แต่ชายร่างสูงก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดว่า ‘ลอบปลงพระชนม์แย่งชิงบัลลังก์’

“ข้าไม่รู้” เซียวถังอี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบตามความจริง “ลี่เฟยอยู่ข้างกายเสด็จพ่อเจ้ามานานแล้ว หากนางคิดจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทจริง ๆ นางมีโอกาสอยู่มากมาย นางไม่จำเป็นจะต้องรอจนถึงตอนนี้”

มู่ไป๋ไป่เม้มปากแน่นทำหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ความรู้สึกไม่สบายใจยิ่งทวีเพิ่มมากขึ้น

จนกระทั่งเธอเห็นนางกำนัลกับทหารกลุ่มหนึ่งเดินเข้าไปในห้องโถง เธอจึงไม่อาจทนนิ่งเฉยได้อีกต่อไป

“เซียวถังอี้ พาข้าไปดูใกล้ ๆ เร็ว!” หญิงสาวดึงแขนเสื้อของคนตัวสูงกว่าแล้วพูดขอร้องเบา ๆ “ข้ากลัวว่าพวกเขาจะทำร้ายท่านพ่อกับท่านพี่”

มู่ไป๋ไป่กลัวว่าหากตนชักช้าไปมากกว่านี้ มันอาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นกับคนในครอบครัวของเธอ 

ในเวลาเดียวกัน ณ ห้องโถงตำหนักตี้เฉิน

ปัจจุบันมู่จวินฝานยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางกวาดตามองไปยังราชองครักษ์ที่ยืนล้อมเขาอย่างเย็นชา “เสด็จพ่อ กระหม่อมขอร้องให้พระองค์ทรงพิจารณาใหม่อีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ”

“องค์รัชทายาท นี่เจ้ากำลังบังคับเรารึ!” มู่เทียนฉงผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับตบโต๊ะเสียงดัง “เจ้าอย่าคิดว่าเราไม่กล้าลงโทษเจ้าเพียงเพราะเจ้ามีตำแหน่งรัชทายาท!”

“เสด็จพ่อ!” ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลด้วยสายตาเย็นชาแล้วพูดเสียงกดต่ำลง “หากการลงโทษของเสด็จพ่อสามารถแลกกับความสุขตลอดชีวิตของไป๋ไป่ได้ กระหม่อมก็ยินดีรับการลงโทษนั้น”

“เจ้าลูกอกตัญญู!” เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดแบบไม่เกรงกลัวใด ๆ เขาก็ยิ่งโมโหมากขึ้น “เจ้าหาว่าเราไม่สนใจความสุขตลอดชีวิตของไป๋ไป่อย่างนั้นหรือ?”

“ในโลกนี้ คนที่รักไป๋ไป่มากที่สุดก็คือเราเอง นางเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเรา เจ้าคิดว่าเราไม่อยากเห็นนางมีความสุขหรืออย่างไร?”

ดวงตาของมู่เทียนฉงที่เบิกกว้างขึ้นนั้นมีรอยเลือดสีแดงเปื้อนอยู่ที่ขอบตาสีขาว ทำให้ท่าทางของเขาดูน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าปกติ

ตอนที่มู่จวินฝานได้ยินจื่อเฟิงนำข่าวที่ว่าหนานซวนมาขอประทานสมรสเชื่อมสัมพันธไมตรี ทีแรกเขาคิดว่าตนยังพอมีความหวังอยู่บ้าง

จนกระทั่งเขาได้มาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อที่กำลังปรึกษาหารือกับทูตของหนานซวน เขาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เขาเป็นพี่ชายของมู่ไป๋ไป่ ถึงแม้ว่าเขาต้องเอาตำแหน่งรัชทายาทมาเสี่ยงก็ตาม แต่เขาจะต้องปกป้องน้องสาวของตนเองและทำให้นางได้ใช้ชีวิตต่อจากนี้ตามที่นางต้องการและมีความสุขให้จงได้

เพี้ยะ!

มู่เทียนฉงเดินลงมาจากบัลลังก์พร้อมกับยกมือขึ้นตบหน้าลูกชายคนโต “ในฐานะรัชทายาท เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าเพิ่งพูดอะไรออกมา?”

“เจ้าอยากจะให้สงครามระหว่างเป่ยหลงกับหนานซวนเริ่มต้นขึ้นอย่างนั้นหรือ? มู่จวินฝาน เจ้าโยนสิ่งที่เราคอยสั่งสอนเจ้ามาตลอดหลายปีนี้ให้สุนัขกินแล้วหรืออย่างไร?!”

บนหลังคาในขณะเดียวกัน มู่ไป๋ไป่ที่เพิ่งยกแผ่นกระเบื้องออก 1 แผ่นบังเอิญเห็นภาพนี้พอดี ส่งผลให้เธอแทบจะหลุดกรี๊ดออกมาเสียงดัง

เธอจึงยกมือขึ้นมากัดเอาไว้แน่นเพื่อพยายามกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกไป 

ทำไมท่านพ่อถึงตบหน้าท่านพี่รัชทายาท?

แม้ว่ามู่เทียนฉงจะทำตัวเย็นชากับมู่จวินฝานมาหลายปี แต่เธอก็รู้ว่าเขารักลูกชายคนนี้มากกว่าใคร

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าท่านพ่อจะโมโหแค่ไหน เขาก็ไม่เคยลงมือกับท่านพี่รัชทายาทจริง ๆ เลยสักครั้ง

วันนี้เป็นครั้งแรกที่หญิงสาวได้เห็นครอบครัวลงไม้ลงมือกัน มันทำให้เธอปวดใจมาก 

“ลูกไม่มีวันลืมคำสอนของเสด็จพ่อ” มู่จวินฝานกลืนเลือดในปากลงคอก่อนจะกล่าวว่า “แต่ลูกจำได้เพียงว่าเสด็จพ่อสอนลูกให้เข้มแข็ง ทำให้แว่นแคว้นอยู่เย็นเป็นสุขโดยไม่ต้องเสียสละญาติพี่น้องของตัวเอง” 

“ในทำนองเดียวกัน สันติภาพระหว่างเป่ยหลงกับหนานซวนไม่จำเป็นต้องใช้การแต่งงานของไป๋ไป่เป็นตัวเชื่อม”

ที่บนหลังคา มู่ไป๋ไป่ตกตะลึงเบิกตากว้างทันทีที่เธอได้ยินพี่ชายคนโตพูด

เธอจ้องมองมู่เทียนฉงด้วยความสับสนและใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจสิ่งที่มู่จวินฝานเพิ่งพูดไป

แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์…

หมายความว่าคนของหนานซวนมาเพื่อขอประทานสมรสจริง ๆ และมู่เทียนฉงก็ตอบตกลงให้เธอแต่งงานไปอยู่ที่หนานซวน

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: เอาแล้ววว ใครมาสู่ขอไป๋ไป่ของเรากันนะ

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.