บทที่ 439: ใช่ ๆ เจ้าเก่งที่สุด

-A A +A

บทที่ 439: ใช่ ๆ เจ้าเก่งที่สุด

ขันทีหนุ่มหน้าซีดไปทันทีหลังจากถูกซูหว่านดุ เขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นและตะโกนว่า “พระสนมหว่าน ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย!”

มู่ไป๋ไป่มองขันทีที่ไม่คุ้นหน้าคนนั้น เมื่อเห็นท่าทีของท่านแม่ เธอก็รู้ว่าตัวตนของชายผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา

เธอจึงเลิกคิ้วพูดอย่างใจเย็น “ข้าไม่ได้กลับวังหลวงมาตั้งนาน คนในวังไม่รู้เรื่องเลยหรือ? ดูเหมือนว่าข้าจะต้องไปถามอันกงกงแล้วว่าสั่งสอนพวกเจ้ามาอย่างไร”

อันกงกงเป็นขันทีใหญ่ในวัง ดังนั้นขันทีทั้งหมดในวังจึงอยู่ภายใต้การดูแลของเขา

เมื่อขันทีผู้น้อยได้ยินว่ามู่ไป๋ไป่คิดจะไปรายงานเรื่องนี้กับอันกงกง สีหน้าของเขาก็ซีดลง และเขาก็รีบคลานเข่าเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับร้องตะโกนคร่ำครวญว่า “องค์หญิงหก โปรดเมตตาข้าน้อยด้วย ข้าน้อยแค่เป็นห่วงว่าองค์หญิงหกจะทรงทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วเพราะคอยนาน”

“ทั้งหัวใจของข้าน้อยคนนี้มีแต่ความหวังดีต่อองค์หญิงหกและพระสนมหว่าน!”

“เจ้าจะบอกว่าท่านพ่อของข้าจะไม่พอใจอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของมู่ไป๋ไป่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาเมื่อได้ยินคำพูดไม่เข้าหู “ท่านพ่อของข้าเป็นคนใจแคบเช่นนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้าทาสต่ำต้อย ไม่รู้กฎเกณฑ์แล้วยังไม่เคารพคนอื่น นอกจากนี้ยังชอบพูดสร้างความบาดหมางให้กับผู้อื่นอีกด้วย ข้า…”

“ใครก็ได้! พาตัวเจ้าทาสคนนี้ไปส่งที่กรมวัง”

ในไม่ช้านางกำนัลที่อยู่ด้านข้างก็รับคำสั่งและเดินออกมาลากตัวขันทีที่ร้องไห้คร่ำครวญออกไป

ถัดมา มู่ไป๋ไป่หันไปพูดกับแม่ของตนว่า “ท่านแม่ เราไปกันเถิดเพคะ เราไปหาท่านพ่อที่ตำหนักกัน”

ในเวลานี้ท่านพ่อของเธอมักจะอยู่ที่ตำหนักตี้เฉิน

“ข้าไม่ไปกับเจ้า” ซูหว่านดึงมือของลูกสาวออกแล้วยิ้มจาง ๆ “เจ้าไปเถอะ ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารที่เจ้าชอบเอาไว้ รอเจ้ากลับมาเราจะได้กินข้าวพร้อมกัน”

มู่ไป๋ไป่นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อนึกถึงขันทีผู้น้อยเมื่อสักครู่ เธอก็เข้าใจอะไรบางอย่างคร่าว ๆ

เธอรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะจะพูดคุยกัน ดังนั้นเธอจึงไม่ถามคำถามท่านแม่อีก เธอทำเพียงแค่เก็บงำความสงสัยเอาไว้และสั่งให้พวกหลัวเซียวเซียวตามซูหว่านกลับไปที่ตำหนักอวี๋ชิง ส่วนเธอกับมู่จวินเซิ่งจะมุ่งหน้าไปที่ตำหนักตี้เฉิน

ถึงกระนั้นหญิงสาวก็ยังแสดงท่าทีกังวลไปตลอดทางซึ่งทำให้พี่ชายคนรองอดเป็นห่วงไม่ได้

“ไป๋ไป่ มีอะไรหรือไม่ เจ้าไม่พอใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้หรือ?” มู่จวินเซิ่งกระซิบถามน้องสาว “ถ้าเจ้าทำหน้าเช่นนี้ เสด็จพ่ออาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าไม่มีความสุข”

“เสด็จพ่อจะไม่มีวันทำเช่นนั้น” มู่ไป๋ไป่ตอบไปโดยไม่ต้องคิด มู่เทียนฉงอาจจะเข้มงวดเกินไปสักหน่อย แต่เขาก็เอาใจใส่เธอมากจริง ๆ

แม่ทัพหนุ่มมองน้องสาวด้วยสายตาสับสน พลางคิดว่าทั่วทั้งเป่ยหลงนั้นมู่ไป๋ไป่น่าจะเป็นคนเดียวที่กล้าตอบคำถามได้อย่างมั่นใจเช่นนี้

“พี่รอง ข้าคิดว่าท่านแม่กำลังมีปัญหา” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาในที่สุด

ท่านแม่ของเธอนั้นมีนิสัยอ่อนโยน ตามปกติแล้วนางจะดีกับคนรับใช้ในตำหนักและขันทีที่คอยดูแลนางมาก

แต่ขณะนี้เธอเพิ่งค้นพบว่านางกำนัลและขันทีในตำหนักที่ซูหว่านพามานั้นมีเพียงไม่กี่คนที่คุ้นตา นอกจากนี้นางยังต่อว่าขันทีหนุ่มต่อหน้าทุกคนอีกด้วย

เรื่องนี้มันผิดปกติมาก

“จริงหรือ?” มู่จวินเซิ่งไม่ได้อยู่ในวังหลวงมานานจนไม่ทันได้สังเกตเรื่องนี้มากนัก แต่เขาเชื่อสิ่งที่น้องสาวของตนพูดเต็มที่ “ข้าไม่ได้ยินข่าวอะไรจากในวังหลวงมาสักพักแล้ว”

“เอาเถอะ ไป๋ไป่ ถ้าเจ้ากังวล ข้าจะไปสืบข่าวมาให้เจ้าเอง”

มู่ไป๋ไป่นิ่งคิดสักพักแล้วส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่จำเป็น ข้าจะรู้คำตอบตอนที่พบกับท่านพี่รัชทายาทพรุ่งนี้”

มู่จวินฝานอยู่ในวังตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวังหลวง

ขณะที่ 2 พี่น้องกำลังพูดคุยกัน พวกเธอก็เดินมาถึงด้านหน้าตำหนักตี้เฉิน

อันกงกงซึ่งรออยู่ที่ประตูเห็นคนทั้ง 2 ก็รีบเข้ามาโค้งคำนับด้วยท่าทางมีความสุข จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไปรายงานนายเหนือหัว

เมื่อมู่ไป๋ไป่มองไปที่ประตูตำหนักที่คุ้นเคยตรงหน้า เธอก็นึกถึงภาพที่ตนมาเยือนที่นี่ครั้งแรก

ในเวลานั้นเธอรู้สึกหวาดกลัวมู่เทียนฉงมาก และตลอดทั้งวันเธอมัวแต่คิดว่าจะเอาชีวิตรอดจากบิดาผู้อารมณ์ร้ายของเธอได้อย่างไร

หญิงสาวไม่คาดคิดเลยว่าในชั่วพริบตาเวลาจะล่วงเลยไปนานขนาดนี้แล้ว

“ไป๋ไป่!” เสียงที่คุ้นเคยดังขัดจังหวะความคิดของมู่ไป๋ไป่ ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนอง ก็มีใครบางคนโผเข้ามากอดเธอแน่น

หลังจากตกตะลึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หญิงสาวก็เรียกสติของตัวเองกลับมาได้และตะโกนเรียกอีกฝ่ายอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ!”

เมื่อมู่เทียนฉงได้ยินคำเรียกขานคุ้นหู ใบหน้าที่เคยเย็นชาก็ดูอ่อนลง ซึ่งมันเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง “ในที่สุดไป๋ไป่ของเราก็กลับมาแล้ว พ่อคิดถึงเจ้ามาก”

“มาให้เราดูหน่อยซิว่าลูกสาวของเราโตขนาดไหนแล้ว”

เวลาผ่านไปกว่า 12 ปี มู่เทียนฉงยังคงดูหล่อเหลาเหมือนเคย แต่บนขมับของเขากลับเต็มไปด้วยเส้นผมสีขาวซึ่งภาพนั้นทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกเศร้าใจไม่น้อย

พ่อของเธอกลายเป็นฮ่องเต้ที่มีอายุมากแล้ว

“เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” มู่เทียนฉงกล่าวพลางยกมือแตะศีรษะของลูกสาวเบา ๆ “ไป๋ไป่เป็นผู้ใหญ่แล้ว”

ขณะเดียวกัน มู่จวินเซิ่งที่อยู่ด้านข้างได้แต่ยืนโค้งตัวก้มหน้าอยู่เงียบ ๆ ไม่ยอมขยับจนกระทั่งเสด็จพ่อหันมาทักทาย

ทุกคนรู้ว่าความเมตตาของมู่เทียนฉงนั้นมีไว้ให้มู่ไป๋ไป่โดยเฉพาะเท่านั้น

“ท่านพ่อ เราเข้าไปคุยข้างในกันเถิดเพคะ” หญิงสาวสูดจมูกแรง ๆ แล้วไม่ลืมที่จะดึงมู่จวินเซิ่งให้ขยับมาอยู่ข้างกาย “พี่รอง บาดแผลของท่านยังไม่หาย เอาไว้ให้ท่านพ่อเรียกหมอหลวงมาตรวจท่านภายหลัง ข้ามีเรื่องจะถามท่านก่อน”

“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?” ผู้เป็นฮ่องเต้เลิกคิ้วรูปกระบี่ขึ้น ซึ่งมันเหมือนกับลูกชายคนรองของเขาทุกประการ “มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมเราไม่ได้รับรายงานว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บจากชายแดนเลย”

มู่จวินเซิ่งอยู่ห่างจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก เขาได้พบกับมู่เทียนฉงที่เป็นพ่อแท้ ๆ ของตนเพียงไม่กี่ครั้งต่อปี ดังนั้นทั้งคู่จึงไม่คุ้นเคยกันมากนัก

หากมู่ไป๋ไป่ไม่อยู่ที่นี่ พวกเขาคงเพียงกล่าวทักทายกัน 2-3 ประโยคแล้วเดินทางกลับตำหนักของตัวเอง

มู่จวินเซิ่งกำลังคิดว่าจะบอกเสด็จพ่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างทางอย่างไร แต่คนเป็นน้องสาวกลับพูดขัดจังหวะเขาเอาไว้

“พี่รองได้รับบาดเจ็บเพราะเขาพยายามปกป้องหม่อมฉัน” มู่ไป๋ไป่พูดพลางแอบขยิบตาให้พี่ชายคนรองเพื่อส่งสัญญาณว่าอย่าปล่อยโอกาสนี้ไป “ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรมากมายเลย เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”

“ตลอดการเดินทาง แผลของพี่รองปริอยู่ตั้งหลายครั้ง แค่หม่อมฉันได้เห็นมันก็รู้สึกเจ็บปวดแทนแล้วเพคะ”

หลังจากมู่เทียนฉงได้ยินสิ่งที่ลูกสาวพูด เขาก็ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีก แล้วเขาก็เดินนำลูก ๆ เข้าไปในตำหนักตี้เฉินและสั่งให้อันกงกงไปเรียกหมอหลวงมา

“ท่านพ่อ ท่านทำงานดึกดื่นเช่นนี้ทุกวันเลยหรือเพคะ?” มู่ไป๋ไป่ได้แต่ถอนหายใจมองพระราชกฤษฎีกาที่วางกองเป็นภูเขาบนโต๊ะ “ท่านพ่อจำไม่ได้หรือว่าหม่อมฉันกำชับอะไรในจดหมายที่เขียนถึงท่านเมื่อเดือนที่แล้ว?”

“หม่อมฉันบอกให้ท่านเข้านอนแต่หัววัน แล้วเลิกอ่านฎีกาพวกนี้จนดึกดื่นเที่ยงคืนทุกวัน แต่ท่านก็ไม่ยอมฟัง”

มู่เทียนฉงไม่ได้โกรธที่ถูกลูกสาวบ่น แต่เขากลับหัวเราะออกมาแทน “เจ้าเด็กนี่ เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นานเจ้าจะเอาแต่บ่นเราไม่หยุดเลยหรือ”

“ถ้าหม่อมฉันไม่พูด แล้วใครจะกล้าพูดกับท่านพ่อล่ะ?” มู่ไป๋ไป่ยู่ปากเหมือนตอนที่ยังเป็นเด็ก “พวกเขาทุกคนล้วนแต่กลัวท่าน แต่ไม่ใช่กับหม่อมฉัน”

“ถ้าหม่อมฉันไม่จู้จี้กับท่านเรื่องนี้แล้วปล่อยให้ท่านทำงานหนักแบบนี้ไปจนร่างกายรับไม่ไหวจะทำเช่นไร?”

ถึงแม้มู่เทียนฉงจะพูดเช่นนั้น แต่เขากลับรู้สึกพึงพอใจกับความใส่ใจที่ลูกสาวมีให้ คราวนี้เขาสัมผัสได้ว่าตำหนักตี้เฉินของเขานั้นดูมีชีวิตชีวามากกว่าปกติ “ใช่ ๆ เจ้าเก่งที่สุด พอใจแล้วหรือยัง?”

ขณะที่ 2 พ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่ อันกงกงก็ประกาศว่าหมอหลวงมาถึงแล้ว จากนั้นหมอหลวงก็ต้องประหลาดใจที่ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะของฝ่าบาทดังมาจากภายในตำหนัก เขาจึงเงยหน้ามองและเห็นสตรีผู้สง่างามที่ยืนอยู่ในห้องโถง ไม่นานเขาก็แสดงสีหน้าเข้าใจ

ที่แท้องค์หญิงหกก็เสด็จกลับมาแล้ว ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฝ่าบาททรงพระสรวล

 

--------------------------------------------------

พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: มาถึงวังหลวงก็มีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นเลย

สารบัญ / นำทาง

แสดงความคิดเห็น

 

ติดตามเราได้ที่

ข้อควรทราบ เนื่องจากผู้ดูแลหลักของเว็บไซต์เป็นคนตาบอด หากพบการแสดงผลที่ผิดเพี้ยนและสร้างความไม่สะดวกต่อการใช้งาน โปรดแจ้งทีมงานได้ในทุกช่องทาง

เราอยากให้สมาชิกทุกท่านอยู่กันอย่างครอบครัวที่อบอุ่น ให้สังคมภายในเว็บ เป็นสังคมที่ดี ดังนั้น สมาชิกทุกท่านโปรดเคารพในสิทธิของตนเองและผู้อื่น

ผลงานที่ถูกเผยแพร่บนเว็บ ให้ถือว่าลิขสิทธิ์เป็นของผู้เผยแพร่เอง ห้ามมิให้บุคคลอื่นนำไปเผยแพร่ คัดลอก หรือนำไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของผลงานโดยเด็ดขาด หากมีการฝ่าฝืนแล้วถูกดำเนินคดีจากเจ้าของผลงาน ทางเว็บมิขอเกี่ยวข้อง เพราะได้แจ้งเตือนเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว

หากพบนิยาย เรื่องสั้น บทความ หรือเนื้อหาอื่นๆ ที่มีเนื้อหาไปในทางใส่ร้ายผู้อื่น หรือทำให้ผู้อื่นเสียหาย แจ้งเข้ามาได้ที่ keangun2018@gmail.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทางทีมงานจะทำการตรวจสอบ และหากเป็นจริง จะนำผลงานดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ไม่เกิน 1 วัน

Copyright © 2018- keangun. All Rights Reserved.